รวมพลคนถูกแบน
แอนนี่ “มันเลยจุดนั้นมาแล้ว”
หลังจากปล่อยให้ “ฟิล์ม-รัฐภูมิ โคตงทรัพย์” ตกเป็นจำเลยสังคมมานานแสนนาน จนชื่อเสียงป่นปี้แทบไม่เหลือชิ้นดี ในที่สุดราหูที่เคยบดบังดวงชะตาของเขาก็เผยให้คนในสังคมได้ตาสว่างเสียที อย่างที่เห็นๆ กันอยู่ว่าหน้าของน้องทีฑายุ ระบุดีเอ็นเอเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าใครเป็นพ่อ!
ถึงแม้ว่าฝ่าย “แอนนี่ บรู๊ค” จะยังพยายามทู่ซี้ ยืนยันว่าจะไม่ถอนชื่อนักร้องหนุ่มออกจากตำแหน่งเจ้าของน้ำเชื้อ แต่ท้ายที่สุด ผลตรวจดีเอ็นเอระหว่าง “คุณพ่อที่ถูกสังคมกล่าวหา” กับ “ลูกชายที่ถูกยัดเยียด” ก็ระบุชัดแล้วว่ามันไม่ใช่ อย่างที่ฟิล์มเพิ่งออกมาประกาศให้หายข้องใจกันในวันนี้ว่า ตรวจมานานแล้ว รู้ผลมานานแล้ว เหลือแต่ฝ่ายหญิงที่ไม่ยอมปล่อย
ย้อนกลับไปในตอนที่ทุกอย่างยังคลุมเครือ ภาพที่แอนนี่กอดลูกชายเอาไว้ในอกอย่างทะนุถนอม ช่างเป็นภาพที่น่าเห็นใจอย่างสุดซึ้ง ทุกคำบอกเล่าเคล้าน้ำเสียงสั่นเครือ ทำเอาใครหลายคนเกลียดผู้ชายที่ชื่อ “ฟิล์ม-รัฐภูมิ” กันทั้งประเทศ เรียกได้ว่าน้ำตาทุกหยดของซิงเกิลมัมรายนี้ ได้รับการตอบรับจากคนในสังคมอย่างคุ้มค่าจริงๆ
ทั้งประชาชน สื่อมวลชน แม้กระทั่งผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ต่างเลือกเข้าข้างเธอ และออกมารุมประณามฝ่ายชายจนไม่เหลือที่ยืนในสังคม หนีไปบวชก็แล้ว หนีไปต่างประเทศก็แล้ว ตราบาปนี้ก็ยังตามหลอกหลอน ทำเอาไม่มีงาน ขาดรายได้ไปหลายปี เหลือเพียงความช่วยเหลือจาก “เฮียฮ้อ” เท่านั้นที่ทำให้ฟิล์มยังอยู่ในวงการนี้ได้
สุดท้าย แทนที่เรื่องจะจบอย่างสวยๆ ตั้งแต่ตอนศาลตัดสินให้เลิกยุ่งเกี่ยวกัน เลิกพูดเรื่องของกันและกันอีก แต่แอนนี่กลับออกมาป่าวประกาศผ่านรายการ “เรื่องเด่นเย็นนี้” อีกครั้ง ยืนยันว่าจะไม่ถอนชื่อฟิล์มออกจากการเป็นพ่อ พอตอบคำถามข้อไหนไม่ได้ ก็หยิบประโยคคลาสสิกขึ้นมาอธิบายว่า “มันเลยจุดนั้นมาแล้ว” เล่นเอาหลายคนอึ้ง! กันไปเป็นแถบว่าจุดนั้นคือจุดไหน
ยิ่งปล่อยให้กาลเวลาพิสูจน์ความจริงไปนานๆ ยิ่งทำให้สังคมเห็นชัดว่า เธอเองต่างหากที่เลยจุดนั้นมานานมากแล้ว… จุดที่จะพูดความจริง
——————————————————————————–
บ๊วย “ผมไม่ได้ฆ่าคน”
หลังจากประกาศหย่ากับ “ตุ๊ก-ชนกวนันท์” อย่างเป็นทางการไปเมื่อไม่กี่วันที่แล้ว “บ๊วย-เชษฐวุฒิ วัชรคุณ” ก็ได้ตำแหน่ง “คุณพ่อสุดยี้” ไปครอง ไม่ใช่เพียงเพราะว่าเขาตัดสินใจทิ้งภรรยาให้อยู่เลี้ยงดูลูกเล็กๆ 2 คนเพียงลำพัง หรือเพียงเพราะมีข่าวมือที่สามอย่างไฮโซ “โม-นภัสนันท์ พสวงศ์” ทายาทร้านทองฮั่วเซ่งเฮง เข้ามาพัวพัน
แต่เป็นเพราะคำอธิบายจากปากของเขาเองที่ทำให้หลายคนเอือมระอาหลายครั้งต่อหลายคราจนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ทีหลังไม่ต้องออกมาแก้ตัวก็ได้ อยู่เฉยๆ เสียยังจะดีกว่า” โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า “คนเป็นพ่อแม่รักลูกไม่เท่ากันอยู่แล้ว!!” เพื่ออธิบายว่าเหตุใดเขาจึงตัดสินใจจะส่งเสียเฉพาะลูกสาวคนโตเท่านั้น ส่วนคนเล็ก ปล่อยให้ตุ๊กเป็นคนดูแลเอง
อีกหนึ่งชนวนที่ทำให้ชื่อของบ๊วยพุ่งปรี๊ดขึ้นไปติดโผคนถูกแบนอย่างรวดเร็ว คือข้อเท็จจริงที่ว่าเขาขอหย่าขาดจากภรรยา หลังคลอด “น้องภูมิ” ลูกชายคนเล็กได้เพียง 20 วันเท่านั้น! หลายคนก่นด่าเป็นเสียงเดียวกันว่าอะไรจะรีบร้อนขนาดนั้น จะอดทนอยู่เพื่อช่วยกันดูแลลูกให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความเหนื่อยยากไปด้วยกันก่อนไม่ได้เชียวหรือ?
พอถูกซักไซ้มากๆ เข้า เจ้าตัวก็บ่อน้ำตาแตก แล้วตัดพ้อปิดท้ายว่า “คนที่คิดว่าผมไม่ดีไม่เป็นไร แต่รับไม่ได้ที่ใครบอกว่าผมไม่รักลูก คือผมไม่ได้ฆ่าคนนะครับ (ร้องไห้) ขอร้องอย่าบอกว่าผมไม่รักลูก ขออนุญาตสัมภาษณ์เป็นครั้งสุดท้าย เพราะอยากให้กระทบลูกน้อยที่สุด”
มีความคิดเห็นบนโลกอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่มากมาย ทั้งตั้งคำถามว่า “ยังมีความเป็นคนอยู่หรือเปล่า? ทิ้งลูกเมียไปตอนนี้” ทั้งสงสัยว่า “พูดออกมาได้ยังไงว่ารักลูกไม่เท่ากัน? ถ้าน้องภูมิโตขึ้นมา อย่าให้ได้ยินคำนี้ทีหลังนะครับ” แต่ที่ชวนขบคิดมากที่สุดคงหนีไม่พ้นคอมเมนต์นี้ “ใช่! คุณไม่ได้ฆ่าคนตายก็จริง แต่กำลังทำให้ 3 ชีวิต ตายทั้งเป็น แล้วมันต่างกันไหม!!”
——————————————————————————–
เก่ง เมธัส “ผมจะเป็นคนดี!!”
“เก่ง-เมธัส สวนศรี” ได้ยินชื่อนี้ทีไร ต้องมีเหตุการณ์ร้ายๆ ภาพลบๆ พาดหัวหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งเกิดขึ้นตลอดเวลา เริ่มตั้งแต่สมัยเข้าวงการใหม่ๆ ยังไม่ทันมีชื่อเสียงโดดเด่นในวงการบันเทิงก็โดดเด้งขึ้นมาจากข่าวอาชญากรรมแทน ด้วยข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวและบังคับขืนใจน้องสาวของ เจ-จินตัย อันติมานนท์ นักแสดงดาวรุ่งสมัยนั้น เป็นเหตุให้ถูกศาลตัดสินจำคุก 5 ปี แต่ด้วยอายุเพียง 17 ในตอนนั้นและให้การสารภาพ ศาลจึงลดโทษให้เหลือแค่รอลงอาญา 2 ปี
ต่อจากนั้นไม่นาน เขาก็ทำความผิดในรูปแบบต่างๆ อีกหลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งเป็นคดีความถึงโรงถึงศาลตลอด ไม่ว่าจะเป็นคดีพยายามฆ่านักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิต, ร่วมกับเพื่อนรุมทำร้ายลูกชายเจ้าของร้านจิวเวลรี ย่านวังบูรพา, ทำร้ายลูกชายเจ้าของร้านเพชรในผับ, กักขังหน่วงเหนี่ยวพริตตี้สาว, หลอกล่อนักเรียนวัย 16 ไปขืนใจแล้วถ่ายรูปแบล็กเมล์, พรากผู้เยาว์และทำร้ายร่างกาย, ใช้ปืนตบหน้าผู้รับเหมาก่อสร้าง, ทำร้ายร่างกายและใช้อาวุธปืนข่มขู่ รปภ.ในคลับชื่อดังย่านพัทยา และคดีล่าสุด ซิ่งหนีด่านตรวจขณะมึนเมาจนเป็นเหตุให้มีเจ้าพนักงานได้รับบาดเจ็บ เมื่อเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา
ประวัติความเหี้ยมยาวเป็นหางว่าวขนาดนี้ก็ว่าน่าทึ่งมากแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นผลของการกระทำของคนเพียงคนเดียว แต่ที่น่าทึ่งยิ่งกว่าคือเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนนี้เอง ที่นายคนนี้ดันออกมาประกาศตัวว่าจะขอเป็นคนดี เลิกเป็นแบดบอยอย่างถาวร เล่นเอาทั้งคนในวงการอาชญากรรมและบันเทิงงงเป็นไก่ตาแตกว่าอะไรดลใจ รู้เพียงแค่ว่าการปฏิญาณตนดังกล่าวเกิดขึ้นได้เพราะเก่งได้รับเชิญจากสำนักงานอัยการ ศาลจังหวัดนนทบุรี ให้เข้าร่วมงาน เพื่อสัญญาว่าจะลดความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว
“ผมมาปฏิญาณตนว่าจะเป็นคนดีต่อสังคมครับ ก็ต้องกราบขอโทษทุกคนเลย (ยกมือขึ้นไหว้) ที่เคยทำความเดือดร้อนให้นะครับ หลังเกิดเรื่องนี้ผมก็เลิกดื่มเลย ตอนนี้พอเพื่อนชวนดื่มปุ๊บ ผมบอกถ้าไม่มีใครมารับมาส่งหรือถ้าไม่นั่งแท็กซี่ ผมไม่ดื่ม คือผมไม่ได้พูดว่าผมเป็นคนดีนะ แต่ผมก็ไม่ได้เป็นคนเลว ก็แล้วแต่สังคมจะตัดสินใจให้ผมเป็นแบบไหน ผมก็พยายามจะทำให้ดีที่สุดครับ”
ก็ไม่รู้ว่าคำสัตย์ปฏิญาณที่พูดไป จะคงความศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ได้อีกนานเท่าไหร่ เพราะขนาดรางวัลระฆังทอง สาขาบุคคลแห่งปี ที่เพิ่งได้รับไปเมื่อปี 2553 เขายังทำลายเสียไม่เหลือชิ้นดีจากคดีที่ก่อขึ้นเอง…
——————————————————————————–
“สตรอเบอรี่” ระดับชาติ
เรียกได้ว่าเขางอกกันทั้งประเทศเพราะผู้ชายคนนี้ “นาธาน โอมาน” เรื่องที่เขากุขึ้นมาช่างมีมากมายเสียจนทำให้เกิดความสับสนมาจนถึงวันนี้ว่าตกลงแล้ว เรื่องไหนหลอก เรื่องไหนจริง? ทุกวันนี้ชื่อของเขาจึงเปรียบเสมือนตัวแทนแห่งการลวงโลกไปแล้ว คือถ้าจะด่าว่าใครอย่างสุภาพว่าอย่ามาสตรอฯ ก็สามารถแทนคำพูดนั้นได้ง่ายๆ ด้วยคำว่า “นาธาน” คำเดียว เอาอยู่
เริ่มตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ที่เคยบอกว่า เป็นลูกครึ่งเนปาล พูดได้ทั้งหมด 5 ภาษา ไปจนถึงเรื่องใหญ่ระดับญาติ อ้างว่าได้โกอินเตอร์ไปถ่ายภาพยนตร์เรื่องพรินซ์ออฟเรดชูส์ ทั้งหมดล้วนเป็นการจัดฉาก แม้แต่ภาพถ่ายที่เคยเอามาโชว์ให้เห็นในรายการตอนให้สัมภาษณ์ ก็ไม่มีอะไรเป็นความจริงแม้แต่นิดเดียว ถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญให้แก่ชาวไทยว่าก่อนจะหลงเชื่ออะไร ควรไตร่ตรองกันให้ดีอีกหลายๆ ครั้ง โดยเฉพาะเรื่องราวในวงการมายา วงการที่เต็มไปด้วยการสร้างภาพ ลึกลับซับซ้อนยากแก่การคาดเดา
อีกหนึ่งแผลแห่งวงการที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ “เจ้าหญิงเบนโล” หรือ “แหม่ม-คัทลียา แมคอินทอช” เธอคืออีกหนึ่งตัวอย่างที่ย้ำเตือนได้เป็นอย่างดีว่าผลจากการโกหกเพียงแค่ครั้งเดียวสามารถทำให้ชีวิตคนหนึ่งคนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้มากขนาดไหน
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ใครต่อใครต่างยกสมญานาม “เจ้าหญิงแห่งวงการ” ให้แก่เธอ แหม่มคือนางเอกเบอร์หนึ่งในดวงใจคนทั้งประเทศ ด้วยความสวยสง่า กิริยามารยาทอ่อนหวาน นิสัยน่ารักเป็นกันเอง ไม่เคยมีข่าวคาวหรือประวัติด่างพร้อยปรากฏให้ขุ่นข้องหมองใจ แต่แล้วความดีที่เคยสั่งสมมาก็ดับวูบลงทันตา เมื่อเจ้าตัวออกมาแถลงข่าวสะเทือนวงการ ยอมรับว่า “ท้องก่อนแต่งได้ 5 เดือนแล้ว”
สาเหตุที่ทำให้เธอถูกแบน ไม่ใช่เพียงเพราะเธอปล่อยให้ตัวเองท้องก่อนแต่งงาน แต่เป็นเพราะคำแก้ต่างที่เคยให้ไว้ ฟังอย่างไรก็ไม่ขึ้น เธอเคยยืนยันเสียงหนักแน่นว่าไม่ได้ท้องอย่างที่ถูกสื่อมวลชนกล่าวหา แต่ที่เห็นว่าป่องจนผิดสังเกตนั้น เป็นเพราะแหม่มกินเบนโลเกินขนาด สุดท้าย เมื่อความจริงปรากฏ ความรักและศรัทธาที่ประชาชนเคยให้ไว้จึงถูกทำลายลงหมดสิ้น สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยเปราะบางต่อคำโกหกเอามากๆ โดยเฉพาะกับคนที่ดูสะอาดดั่งผ้าขาว พอมีจุดดำจุดเดียวมาแปดเปื้อน มันก็ยากจะลบเลือน
นอกจากนี้ “การเป็นมือที่สาม” ก็ถือเป็นข้อต้องห้ามสำหรับคนดังด้วย คือถ้าไม่อยากถูกแบน…อย่าทำ! โดยเฉพาะคนที่กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง แต่ไม่ยอมรับผิด สังคมยิ่งไม่อยากให้อภัย อย่างกรณีของ “พิ้งกี้-สาวิกา ไชยเดช” ซึ่งในขณะนั้นหลายฝ่ายออกมาประณามการเข้าแทรกแซงครอบครัวของ “ธัญญ่า-ธัญญาเรศ เองตระกูล” แต่เธอกลับทำนิ่งเฉยต่อกระแสสังคม ยังคงติดต่อกับ “เป๊ก-สัณชัย” โดยใช้คำว่า “พี่น้อง” มาเป็นข้ออ้าง
ถึงแม้ทุกวันนี้ธัญญ่าและสามีจะแยกกันอยู่ และยังไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันได้ว่าสรุปแล้วใครเป็นกิ๊กกับใคร แต่สังคมก็สรุปให้แล้วว่าใครสมควรโดนแบน
หากสังเกตให้ดี ตัวอย่างคนดังที่ถูกแบนทั้งหมดที่กล่าวมา ล้วนแล้วแต่เกิดจากปัญหาส่วนตัวทั้งสิ้น แต่เมื่อเลือกแล้วว่าจะเป็นคนของประชาชน ก็ต้องยอมรับด้วยว่า ปัญหาส่วนตัวของคุณย่อมกลายมาเป็นความขุ่นข้องใจระดับมหาชนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงอาจถึงเวลาแล้วที่คนในวงการจะเริ่มหันมาเรียนรู้จากเพื่อนในวงการ เผื่อวันใดเกิดพลั้งพลาดจะได้รู้ว่าจะ “อยู่รอด” ในอาชีพที่รักต่อไปอย่างไร จะยังมีคนรักและให้การสนับสนุนต่อไปอีกไหม และจะกู้ชื่อเสียงกลับคืนมาได้อย่างไรในฐานะ “คนถูกแบน”