ก็ได้ 4 ทีมสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับศึกฟุตบอลชิงจ้าวอาเซียน “เอเอฟเอฟ ซูซุกิ คัพ 2014″ หลังจากที่ฟาดฟันกันมาหนึ่งสัปดาห์เต็ม

แต่ถ้าให้พูดถึงทัพ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ภายใต้การคุมทีมของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือใหญ่ในขณะนี้ ที่ใช้เวลาเตรียมทีมอันน้อยนิด เพื่อทวงเบอร์หนึ่งจ้าวอาเซียนกลับมา ด้วยเงื่อนไขต้อง “แชมป์เท่านั้น”

แต่ถ้าเป็นเราเมื่อได้ยินแบบนี้แหละก็…เชื่อว่าหลายท่านคงใจเต้นตุ๊บๆตั๊บๆ กันเลยทีเดียว

สำหรับทีมชาติไทย คว้าแชมป์ฟุตบอลรายการนี้ครั้งล่าสุดเมื่อปี 2002 และในปีนี้ถือว่าเราอยู่ในสายแข็งเช่นกัน ในกลุ่มบีร่วมกับ สิงคโปร์ เจ้าภาพร่วมและแชมป์เก่า, มาเลเซีย แชมป์ปี 2010 และเมียนม่าร์ทีมแชมป์จากรอบคัดเลือก

news

“ซิโก้” ถือเป็นอดีตศูนย์หน้าและนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในรุ่นเดียวกัน ที่ช่วยทีมชาติไทยคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 3 สมัย เมื่อครั้งเป็นนักเตะ

ซึ่งนั้นหมายถึงเป็นการการันตีในระดับหนึ่งของอดีตยอดกองหน้าเบอร์หนึ่งแดนสยาม ที่แฟนบอลชาวไทยมั่นใจว่าเขาจะทำให้ทีมชาติไทยมีผลงานที่ดีขึ้นไม่มากก็น้อยในสถานะโค้ช และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

และจากความสำเร็จที่ผ่านมาที่ “ซิโก้” พาทีมชาติไทยชุดยู-23 คว้าแชมป์ฟุตบอลซีเกมส์และต่อด้วยการเข้ารอบรองชนะเลิศในการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ที่เมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวในอาเซียนที่ทะลุถึงรอบนี้

ก่อนตัดสินใจรับคุมทีมชาติไทยชุดใหญ่ ไปลุยศึกเอเอฟเอฟ ซูซุกิ คัพ และอาจด้วยกระแสแฟนบอลชาวไทยอยากเห็นความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง

 

และล่าสุดทีมชาติไทยมีอันดับที่ดีขึ้น จากการประกาศของ “ฟีฟ่า” ปรากฎว่าเราทะยานจากเดิมอันดับ 165 ของโลก (ซึ่งต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์) ขึ้นมารั้งอันดับ 144 ของโลก, เป็นอันดับ 24 ของเอเชีย และเป็นอันดับ 4 ของอาเซียน โดยแซงอินโดฯ, มาเลเซีย, ลาว และสิงคโปร์ คู่แข่งในอาเซียน แต่ยังเป็นรองอันดับ 1 ฟิลิปปินส์, อันดับ 2 เวียดนาม และอันดับ 3 เมียนมาร์

แต่ถ้าจะให้ชำแหละผลงาน 3 นัดรอบแรกของทีมไทยที่ผ่านมา ต้องบอกเลยว่า “หาใช่งานง่ายเลย”

โดยนัดแรกเราต้องพบกับ “เจ้าภาพร่วม” อย่างสิงคโปร์ แชมป์เก่า ซึ่งถือเป็นทีมที่แข็งแกร่งทีมหนึ่งในสาย แต่เราก็สามารถเฉือนชนะมาได้2-1

โดยต้องยอมรับว่าเราโชคดีมากในนัดนี้ที่มาได้จุดโทษท้ายเกม เพราะตลอดการแข่งขันทั้งสองทีมเล่นกันได้อย่างสูสีมาก แต่คงเป็นเพราะแผนที่”ซิโก้”วางไว้บวกกับความมุ่งมั่นของนักเตะพลังหนุ่มจึงคว้าชัยมาได้

 

ส่วนนัดที่สองเราพบกับ “เสือเหลือง” มาเลเซีย ซึ่งนัดแรก เขาทำได้เพียงเสมอ เมียนมาร์ 0-0 ทำให้สถานการณ์ค่อนข้างบีบคั้น ต้องเอาชนะไทยเราให้ได้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้ารอบต่อไป

แต่ผลปรากฏว่าเราสามารถพลิกกลับมาแซงชนะ3-2ได้แบบสุดมันส์ โดยนัดนี้ต้องยอมรับเรื่องหัวจิตหัวใจแข้งไทยสุดๆ ที่ช่วยกันกู้สถานการณ์จากที่ตกเป็นรอง มาเลเซีย ถึงสองครั้งกลับมาเอาชนะได้อย่างประทัปใจแฟนชาวไทยและเป็นการการันตีผ่านเข้ารอบรองฯ ในทัวร์นาเมนต์นี้

 

และนัดสุดท้ายก็ถือว่าน่าจะเป็นเกมที่เบาที่สุด โดยพบกับทีมชาติเมียนมาร์ ซึ่งเขายังมีโอกาสผ่านเข้ารอบต่อไป โดยต้องลุ้นให้อีกคู่ “เจ้าภาพร่วม” สิงคโปร์ กับ มาเลเซีย จบลงด้วยผลเสมอกัน และเมียนมาร์เองต้องชนะไทย 3 ประตูขึ้นไป

แน่นอนทัพหม่องเดินหน้าเติมตัวใส่เราไม่ยั้งแน่ และก็เป็นอย่างนั้นจริง วันนั้นเมียนม่าร์เล่นหนักมาก จนนักเตะไทยกลิ้งกันไปหลายต่อหลายคน ก่อนสุดท้ายจบลงด้วยชัยชนะของทีมไทย2-0 ถือว่าทุกคนเล่นได้ตามแผนที่วางไว้

ซึ่งชัยชนะ 3 รวด ส่งผลให้ลูกทีมของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เก็บ 9 แต้มเต็ม และไม่แปลกอะไรที่สื่อต่างๆ ยกให้ทีมชาติไทย เป็นทีมเต็งแชมป์ของรายการนี้

จุดเด่นในทัพ “ช้างศึก” ชุดนี้ คือหัวใจที่แข็งแกร่ง สู้จนวินาทีสุดท้าย และเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีความต่อเนื่องในรูปเกม และความเข้าใจในระบบการเล่นเป็นอย่างดี แต่ถ้าเป็นจุดอ่อนก็คงเป็นแนวรับ

และทำให้เวลานี้ “ทีมชาติไทย” ถูกพูดถึงไปอย่างมากมาย กับ “ภารกิจทวงเจ้าอาเซียน” ที่ชาวไทยอยากสัมผัสมันอีกครั้ง หลังพลัดพรากห่างกันไปนานถึง 12 ปี