บ้านเก่าอายุ 150 ปี ราคา 300 ล้านบาท
กลับมาเป็นที่ฮือฮาอีกครั้งเมื่อมีกระแสข่าวว่าแม่ชีเจ้าของบ้านโบราณอายุกว่า 150 ปี จะขายบ้านให้กับนายทุนที่มาติดต่อขอซื้อในราคา 300 ล้านบาทและจะนำเงินมาบำรุงศาสนา
ซึ่งบ้านโบราณหลังนี้เคยตกเป็นข่าวมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2559 ที่ผ่านมาหลังจากที่มีคนเสนอซื้อบ้านที่ให้ราคาสูงถึง 85 ล้านบาท แต่แม่ชีเจ้าของบ้านไม่ยอมขายถึงแม้ว่าจะได้เงินถึง 200 ล้านบาทก็ตาม
โดยบ้านหลังดังกล่าวสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ด้วยไม้สักทองทรงปั้นหยา บนเนื้อที่รวม 167 ตารางวา ตั้งอยู่เลขที่ 34 ซอยกรุงธนบุรี 2 แขวงบางลำพูล่าง เขตคลองสาน ใกล้สถานีบีทีเอสวงเวียนใหญ่
ด้วยทำเลทองจึงไม่แปลกใจเลยที่บ้านจะมีราคามากมายมหาศาล ผนวกกับตัวบ้านเป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรปมีอายุมากกว่า 150 ปี จึงทำให้มูลค่าของตัวบ้านโบราณมีราคาสูงที่ไม่อาจประเมินได้
ด้าน แม่ชีกรรณิการ์ เจ้าของบ้าน ได้เปิดเผยเมื่อปี 2559 ว่าตั้งแต่มีการสร้างรถไฟฟ้าบีทีเอสก็มีเจ้าของคอนโดมาติดต่อขอซื้อบ้านพร้อมที่ดินหลังนี้โดยให้ราคาไล่เลียงตั้งแต่ 40 – 60 ล้านบาท
จนราคามาหยุดที่ 85 ล้านบาท แต่ก็ได้ปฏิเสธไปเพราะต้องการเก็บบ้านหลังนี้ไว้เพื่อให้เป็นศูนย์รวมของลูกหลานจะได้เห็นหน้าเห็นตากัน ถึงแม้จะให้ราคาสูงถึง 200 ล้านบาทก็ตาม
แต่แล้วเมื่อ 2560 บ้านหลังนี้กลับมาเป็นข่าวโด่งดังอีกครั้งหลังจากมีกระแสข่าวว่ามีนายทุนมาติดต่อขอซื้อบ้านในราคาสูงถึง 300 ล้านบาท
โดย แม่ชีกรรณิการ์ เจ้าของบ้าน ได้เปิดใจถึงเรื่องนี้ว่าถ้ามีคนมาซื้อและให้ราคาซื้อสูงถึง 300 ล้านบาท จะตัดสินใจขายเพราะไม่มีใครให้ราคาสูงแบบนี้ แต่เมื่อครั้งตอนแรกที่ยังไม่ต้องการขายเนื่องจากว่าต้องการอนุรักษ์บ้านหลังนี้ไว้เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษา
แต่สาเหตุที่ยอมขายเพราะลูกหลานอยากให้ขายไป เลยบอกถ้าอย่างนั้นจะตั้งขายในราคา 300 ล้านบาท ถ้าใครกล้ามาซื้อก็กล้าให้ อย่างน้อยจะได้มีความสงบสุขในครอบครัว และจะนำเงินไปทำบุญเพื่อทำนุบำรุงศาสนาต่อไป
นั่นคือคำตอบของแม่ชีกรรณิการ์ เจ้าของบ้าน ที่พอใจกับราคาซื้อบ้านราคา 300 ล้านบาทและคุ้มค่ากับการที่ต้องสูญเสียบ้านอันเป็นที่รักไป
ทั้งนี้หากมองในแง่ธุรกิจคงมีคำถามที่ตามมามากมายว่าหากบ้านโบราณหลังนี้ในราคา 300 ล้านบาทจะคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่…?
ทาง Sanook New! จึงได้ติดต่อสอบถามไปยัง ดร.โสภณ พรโชคชัย นักวิชาการด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า
“บ้านหลังดังกล่าวมีเนื้อที่ 167 ตารางวา ซึ่งปีที่แล้วผมประเมินไว้ 52 ล้านบาทและปีนี้ผมประเมินเพิ่มเป็น 60 ล้านบาทหรือตกเป็นเงินตารางวาละ 360,000 บาท ซึ่งยังน้อยกว่าราคาซื้อถึง 5 เท่า ทั้งที่ปกติราคาตลาดสำหรับที่ดินในซอยนี้ น่าจะอยู่ในช่วงประมาณ 150,000 – 200,000 บาท ต่อตารางวาเท่านั้นเอง
แต่ถ้ามีคนให้ราคาที่ 300 ล้านบาท ก็เท่ากับตารางวาละ 1.8 ล้านบาท ซึ่งราคาจะแพงกว่าที่ บมจ.ศุภาลัย ซื้อที่ดินสถานทูตออสเตรเลียตรงสาทร ในราคาตารางวาละ 1.45 ล้านบาท หากมองในแง่ของการลงทุนก็คงเป็นได้ยากที่จะซื้อที่บริเวณนี้ในราคาสูงถึง 300 ล้านบาท
ซึ่งในทางประเมินทรัพย์สินเค้าบอกว่า ราคาคือสิ่งที่เราจ่ายออกไป แต่มูลค่าคือสิ่งที่เราได้รับมา เช่น เราจ่ายเงินซื้อไป 300 ล้าน แต่มูลค่าเท่ากับ 60 ล้าน เป็นต้น หากมองในแง่ของธุรกิจคงไม่คุ้มค่าที่จะลงทุนสูงขนาดนั้นและเป็นไปได้ยากที่จะมีคนซื้อราคานี้
ยิ่งถ้าหากซื้อที่ดินไปทำคอนโดด้วยแล้วยิ่งไม่คุ้มทุนเท่าไหร่เพราะถึงแม้ว่าราคาที่ดินจะสูงขึ้น แต่ราคาคอนโดกลับไม่สูงตามไปด้วยเนื่องจากช่วงนี้คอนโดล้นตลาดไปนิดหน่อยราคาจึงตกลงมา ทำให้คนส่วนใหญ่แห่ไปซื้อที่ตรงตลาดพลูไปทำคอนโดแทนเพราะมีราคาที่ถูกกว่า
แต่ถ้าหากมีคนขอซื้อในราคา 300 ล้านบาทจริงๆ ต้องขออนุโมทนากับคุณยายด้วยเพราะคุณยายจะได้นำเงินส่วนหนึ่งไปทำบุญตามที่ตั้งใจไว้ และถ้ามองถึงความคุ้มค่าของคนซื้อที่จ่ายเงินไปผมคิดว่าที่ดินแปลงนี้น่าจะมีคุณค่าทางจิตใจมากกว่าถึงยอมจ่ายเงินซื้อในราคาที่สูง
และถ้าหากถามถึงความคุ้มค่า คำตอบคงขึ้นอยู่กับความสุขของผู้จ่ายเงินเท่านั้นเอง” ดร.โสภณ พรโชคชัย กล่าวทิ้งท้าย