โย ยศวดี ร่ำไห้ ปมแตกหัก บี น้ำทิพย์
ถือเป็นเรื่องที่หลายคนคาดไม่ถึงและเสียดายกันไม่น้อย สำหรับประเด็นการแตกหักของเพื่อนรักสองนางแบบ “โย ยศวดี” และ “บี น้ำทิพย์” หลังเป็นเพื่อนสนิทกันมายาวนานกว่า 10 ปี ทำงานรวมถึงลงขันเปิดธุรกิจร่วมกันมาโดยไม่มีวี่แววของความบาดหมาง ก่อนที่ไม่นานมานี้ ฝ่ายสาวบีจะออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ปัจจุบันความสัมพันธ์กับ โย เหลือแค่ “เพื่อนร่วมโลก” กันเท่านั้น ล่าสุด โย ยศวดี ได้ออกมาพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ซึ่งขณะที่ให้สัมภาษณ์อยู่นั้น เจ้าตัวถึงกับน้ำตาไหลต่อหน้าสื่อมวลชนเลยทีเดียว
ตอนแรกเห็นว่าเราจะเปิดธุรกิจตัวใหม่ร่วมกับบี แต่สุดท้ายก็กลายเป็นเราคนเดียว ?
“เราเคยคุยกันตอนที่ทำอาหาร เพราะปีนี้ธุรกิจอาหารดาวน์เยอะมาก เราก็เลยต้องหาตัวอื่นมาซับพอร์ท แต่สุดท้ายเขาก็เปลี่ยนใจ เนื่องจากเขาไม่อยากทำและก็ไม่อยากลงทุนค่ะ ซึ่งจริง ๆ แล้วทุกครั้งที่ทำธุรกิจโยไม่เคยต้องการให้เขาลงทุนเลย รวมถึงธุรกิจนี้ด้วยค่ะ เพราะโยเตรียมที่จะลงทุนให้เหมือนเดิม”
“และวันนี้ที่โยมายืนให้สัมภาษณ์โยไม่ได้ต้องการออกมาหักล้างใด ๆ นะคะ เพราะโยถือว่าเขาเป็นน้องและโยก็ยังรักเขา ซึ่งสิ่งที่โยจะพูดต่อไปนี้มันคือเรื่องจริง และจะไม่ทำร้ายหรือทำลายอะไรเขาเลย”
“ธุรกิจโยบีตอนที่ชวนบีมาร่วมทำอย่างที่โยบอกคือโยตั้งใจลงทุนเองทั้งหมด ซึ่งบีเขาก็ทราบอยู่แล้วว่าตัวเขาไม่ได้ลงเงินอะไรเลย จนสุดท้ายธุรกิจมันอยู่ไม่ไหวโยก็เลยบอกเขาว่าจะปิดนะ ซึ่งเขาก็เห็นชอบด้วย”
“มีครั้งหนึ่งช่วงก่อนเดือนสิงหาคมธุรกิจมันดรอปมากโยเลยบอกให้บีเขานำเงินมาช่วยออกก่อน 200,000 บาท ซึ่งเขาก็เอามานะคะ แต่ว่าต้องคืนเขา ไม่ถึง 3 สัปดาห์เงินก้อนนี้ก็กลับไปสู่คุณบี ซึ่งมันก็กลับไปอยู่จุดเดิมว่าเขาไม่เคยลงทุนจริง ๆ”
“ตอนที่ทำธุรกิจร่วมกันบีเขาจะทำหน้าที่ในการช่วยโปรโมท ส่วนโยจะทำงานประมาณว่า หน้าบ้านคนนึง หลังบ้านคนนึง อะไรทำนองนั้น เนื่องจากเรามีออฟฟิศ และลูกน้องอีกเกือบ 20 ชีวิต ซึ่งบีเขาก็ยินดีที่จะมอบหมายให้โยเป็นคนบริหาร โดยหุ้นของโยบีจะมี 3 หุ้นเท่านั้น คือ โย บี และ คุณเอ ซึ่งสัดส่วนในการแบ่งกำไร บี คือคนที่ได้ 50% เต็ม ๆ ในขณะที่โยแบ่งส่วนของโยให้กับพี่เอ แต่เอาจริง ๆ พี่เอเขาทำหน้าที่เป็น MD ซึ่งมีเงินเดือนประจำอยู่แล้ว ดังนั้นโยจึงไม่ได้แบ่งอะไรให้เขามาก”
จุดแตกหักคือตรงไหน ?
“เกิดขึ้นตอนที่จะปิดบริษัทค่ะ เพราะว่าถ้าจะปิดบริษัทมันต้องมีเงินมารองรับในการจ่ายลูกน้องอีกกว่า 10 ชีวิต ซึ่งบีเขาไม่เคยมาทำงานตรงนี้ เขาทำอยู่ข้างหน้า เขาเห็นแต่รายได้เลยไม่รู้รายจ่ายของออฟฟิศเลย ดังนั้นเมื่อเขามาเห็นเขาจึงเกิดการไม่เข้าใจ ซึ่งตัวโยเองก็บอกเขาว่าโยยินดีมากที่จะทำเคลียร์ให้เขาเข้าใจ และยืนยันว่าไม่ได้เป็นอย่างที่บีเขาคิด แต่เอาจริง ๆ ตั้งแต่เปิดธุรกิจมากำไรที่ได้คุณบีได้ไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งเท่ากันกับที่โยได้ โดยที่ตัวเขาเองไม่ได้ลงทุนอะไรเลยจริง ๆ”
“ตอนนี้ทุกอย่างจบแล้ว บริษัทเราไม่เคยติดหนี้สินอะไรกับใครเลย บริษัทปิดหมดแล้ว เหลือเพียงสิ่งเดียวที่ไม่จบคือคุณบีไม่ยอมมาพบ เรียกให้เขามาประชุมเขาก็บอกว่าไม่ว่าง เรียกไปถึงผู้ช่วยเขาก็บอกว่าไม่มีเวลา พร้อมกับบอกมาอีกว่าพร้อมที่จะดับเครื่องชน ซึ่งตอนที่โยได้ยินโยก็เสียใจ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาต้องดับเครื่องชน ทั้ง ๆ ที่ปัญหานี้เล็กมาก ถ้าเรายังมีความเป็นเพื่อนกันอยู่มันก็ไม่น่าจะมาไกลถึงขนาดนี้”
“วันที่บีไปพูดกับสื่อ โยได้ยินข่าวมาว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะพูด แต่เขาถูกบอกให้พูดแบบนั้น เพราะเราตั้งใจไว้ว่าจะปิดกันแบบเงียบ ๆ ไม่ออกสื่อ แต่พอมาวันนี้โยกล้าพูดออกหน้ากล้องเลยว่าถ้ายังไม่เชื่อสิ่งที่โยพูด โยก็พร้อมที่จะทำตามกระบวนทุกอย่างค่ะ”
คิดว่าเรื่องนี้มีคนอยู่เบื้องหลังไหม ?
“เอาจริง ๆ มันไม่มีคำว่าเบื้องหลังหรอกค่ะ เพราะโยเองก็มีผู้ช่วย คุณบีเขาก็มีผู้ช่วย ซึ่งโยก็ยินดีที่จะรับฟังทั้ง 2 ฝ่าย เพียงแต่ว่าถ้าเราใช้อารมณ์ในการพูดเรื่องมันจะไม่จบค่ะ”
บีเขาต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ในการปิดบริษัท ?
“บีเขาไม่ต้องจ่ายอะไรเลย โยแค่ต้องการให้เขามาเซ็นต์ยอมรับการปิดบริษัท รวมถึงมาดูบัญชี 20 เดือนที่เราตั้งบริษัท ว่าเขาพอใจไหม และมันถูกต้องตามที่คุณบีกับผู้ช่วยเขาต้องการหรือเปล่าแค่นั้นเองค่ะ ซึ่งหลังจากดูแล้วเขาเห็นว่าส่วนไหนหาย ถูกโกง หรือ ไม่ถูกต้อง อันนี้โยก็ยินดีที่จะรับฟังค่ะ”
แสดงว่าตอนนี้บีเขากำลังเข้าใจผิดอยู่ ?
“เข้าใจผิดค่ะ โยถึงได้ไม่โกรธไงค่ะตอนที่เขาออกมาให้สัมภาษณ์ เพราะโยรักเขา ทุกวันนี้มันก็ยังเป็นอย่างนั้น คือโยยินดีที่จะรับฟังเขาเสมอว่าเขารู้สึกยังไง แต่ต้องบอกว่าในวันที่เขาให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านั้นเราก็มีปากเสียงกันทางไลน์นะ เนื่องจากโยโพสต์รูปผลิตภัณฑ์ใหม่ของโยลงอินสตาแกรมร้านโยบีเลยทำให้เขาโกรธ เขาก็บอกให้ปิดไอจีโยบี ซึ่งโยก็ยินดีทำ”
เราได้คุยกับเขาบ้างไหม ?
“ไม่ได้คุยค่ะ แต่เราก็เจอกันที่งานแฟชั่นวีค เดินเจอกันก็ไม่ทักกัน ซึ่งพี่ ๆ ในแฟชั่นเขาก็อึดอัดเขาอยากให้เราคุยกัน เพราะเรื่องมันน่าจะจบได้ คือไม่ได้มีใครโกงใครเลยจริง ๆ”
มีคนอาสาเป็นกาวใจให้เราบ้างไหม ?
“มีหลายท่านค่ะ แต่ทั้งนี้แล้วมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาด้วยว่าเขายินดีที่จะรับฟังทุกอย่างไหม”
ส่วนตัวพี่โยพร้อมที่จะเคลียร์ไหม ?
“ก่อนอื่นเราต้องมาเคลียร์เรื่องบัญชีกันก่อนค่ะ เพราะการทำธุรกิจใหม่ถ้าเราโดนดิสเครดิตมา มันก็อาจจะส่งผลให้ธุรกิจเราล่มก็ได้ เพราะถ้าหากคนเขาเชื่อตามนั้น ซึ่งโยกลัวมากกับการแบกพนักงานกว่า 10 ชีวิตโดยที่ไม่มีจุดหมายให้เขา”
โยคาดหวังว่าสิ่งที่พูดวันนี้จะทำให้บีเขาเปิดใจมากขึ้นไหม ?
“(น้ำตาคลอ) โยไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย โยแค่ต้องการดูแลลูกน้องที่ติดตามโย วันที่เราปิดบริษัทโยคิดมากมาตลอดว่าลูกน้องอีก 10 กว่าชีวิตของเราจะอยู่ยังไง (ร้องไห้)”
“วันนี้โยเชื่อว่าโยทำดีที่สุดแล้ว เท่าที่คนคนหนึ่งจะทำได้ ทุกวันนี้โยยืนยันว่าโยไม่เคยโกรธอะไรเขาเลย เพราะเขาเป็นน้องที่โยรักเสมอ ซึ่งวันนี้โยขอแค่อย่างเดียวคือความยุติธรรมช่วยมีให้กับโยบ้าง (ร้องไห้)”
บีเขาบอกว่าเราเป็นแค่เพื่อนร่วมโลก และสำหรับเราเขาเป็นแบบนั้นไหม ?
“สำหรับเขาเขาพูด แต่สำหรับโยคงทำไม่ได้ค่ะ เพราะทุกวันที่ทำงานกับเขาโยอึดอัดมาก โยถึงกับบอกคนอื่นเลยว่าแฟชั่นวีคปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายที่โยจะทำ เพราะมันเป็นปีที่อยู่แล้วไม่มีความสุขเลยจริง”
ยืนยันว่าเรายังไงก็ไม่ตัดเขาออกจากความรู้สึกแน่นอน ?
“ถามหน่อยเถอะค่ะ เวลาเรารักใครสักคนเราสามารถตัดเขาได้แบบนี้ไหม เพราะสำหรับโยโยตัดไม่ได้ (ร้องไห้) ซึ่งถ้าเขายืนยันว่าจะไม่คบโยเป็นเพื่อนโยจะไม่เป็นไรเลย แต่โยขอแค่อย่างเดียวช่วยกลับมาเคลียร์และรับฟังโยบ้างเท่านั้นเอง”
คิดว่าจะมีการฟ้องร้องไหมถ้าหาจุดจบไม่ได้ ?
“แล้วแต่บีเลยค่ะ เพราะสำหรับโยโยไม่เคยคิดที่จะฟ้องร้องใครทั้งสิ้น โยอยากให้เรื่องนี้จบให้ดีที่สุด ไม่มีการด่าทอกัน ไม่มีการจองล้างจองผลาญกันอีก เพราะโยเองก็ไม่เคยว่าอะไรเขาแม้แต่คำเดียว”
แต่ตามกระแสเขาก็บอกว่ามีผู้ไม่หวังดีมาให้ข่าวเรื่องที่มีการทำร้ายร่างกายในผับ ?
“ถ้าโยปล่อยข่าวเองโยปล่อยมานานแล้วดีกว่าไหมค่ะ โยจะมาทำให้ช่วงเวลาที่ให้คนมองว่าโยเป็นตัวร้ายเหรอ ซึ่งโยยืนยันว่าเรื่องนี้โยไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย เพราะโยไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์”
เราได้โทรหาเขาเพื่อจะขอเคลียร์บ้างไหม ?
“เอาจริง ๆ นะคะ โยกับบีเราห่างกันมานานตั้งแต่ช่วงต้นปีแล้ว เราไม่ได้เที่ยว ไม่ได้ปาร์ตี้กันเลย เพราะเราเริ่มรู้ตัวว่าทัศนคติเราไม่ตรงกัน คือช่วงร่วมงานแรก ๆ เราคิดแค่ว่าเรามีความเหมือน แต่พอเวลาผ่านไปเราถึงได้รู้ว่าเราสองคนต่างกันมาก ไลฟ์สไตล์เราสองคนไม่เหมือนกันเลยจริง ๆ ค่ะ”
ณ วันนี้เราเสียใจไหมที่ชวนเขามาร่วมทำธุรกิจในตอนแรก ?
“ไม่ได้เสียใจค่ะ แต่โยกลับคิดว่าถ้าวันนั้นไม่ชวนเขาทำ ตอนนี้เราก็น่าจะเป็นเพื่อนกันได้อยู่”
ปัญหานี้มีคนอื่นมาแทรกกลางไหม ?
“โยขอไม่เอ่ยชื่อถึงคนอื่นค่ะ ขอพูดถึงคุณบีคนเดียว”
ณ ตอนนี้เรารอให้เขาเข้ามาเซ็นเอกสารกับดูรายละเอียดบัญชีอย่างเดียวเลยใช่ไหม ?
“เราก็รอตามที่ผู้ช่วยคุณบีบอกค่ะว่าเขาจะว่างตอนไหนแค่นั้นเองค่ะ”
ที่มีปัญหาคือเป็นเพราะคนกลางเข้ามาแทรกทำให้ไม่เข้าใจ หรือเป็นเพราะธุรกิจเราไม่ดีเองถึงทำให้เกิดเรื่อง ?
“เอาตามจริงนะคะ แต่ละคนก็ต่างมีความรู้ความถนัดไม่เหมือนกัน ตัวโยเองโยอาจจะเข้าใจ แต่อีกคนหนึ่งถ้าเขาไม่เข้าใจเขาก็มีสิทธิ์ที่จะพาคนอื่นเข้ามาช่วย ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วโยถือว่าคนที่จะเข้ามาช่วยเหลือไม่ว่าอะไรก็ตาม เขาน่าจะมาทำให้อีกคนหนึ่งเย็นเพื่อที่จะแก้ปัญหา ไม่ใช่มาทำให้ลุกร้อนปัญหามันเติบโตยิ่งขึ้น”
แสดงว่าเรื่องนี้ก็อาจจะมีมือที่ 3 ?
“อันนี้โยไม่ทราบค่ะ”