2 นัดสุดสำคัญของหงส์แดง
โชคชะตาของ ลิเวอร์พูล ที่ลุ้นจะทำอันดับเพื่อไปเล่นในรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้าเริ่มเป็นใจกับพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากจะทำฟอร์มดีขึ้นเรื่อยๆด้วยตัวเองแล้ว คู่แข่งสำคัญในพื้นที่ดังกล่าวยังทำผลงานสะดุดกันไปเองด้วยอีกทาง
หลังจากส่อเค้าจะหมดลุ้นทุกอย่างด้วยฟอร์มการเล่นที่ไม่คงเส้นคงวาในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาลมาจนถึงกลางเดือน ธ.ค.
ทว่าล่าสุดหากพิจารณาจากอันดับและฟอร์มล่าสุดแล้ว “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล กำลังเป็นทีมที่ทำผลงานได้อย่างร้อนแรงน่าจับตามองทั้งฟุตบอลถ้วยที่ยังเหลือให้ได้ลุ้นอยู่สองรายการทั้ง ยูโรป้า ลีก และ เอฟเอ คัพ
ล่าสุดชัยชนะที่สนาม เซนต์ แมรี่ส์ ทำให้ทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ขยับเข้าใกล้พื้นที่ 4 อันดับแรกที่จะเป็นโควตาไปเล่นในถ้วยใหญ่ของยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มากขึ้นเรื่อยๆ
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล มีโปรแกรมต้องยกพลลงใต้ไปเยือนรัง เซนต์ แมรี่ส์ ของทีม “นักบุญ” เซาแธมป์ตัน พร้อมกับความตั้งใจที่จะบุกไปเก็บ 3 คะแนนเพื่อลุ้นทำอันดับให้ดีขึ้นไปอยู่ในโควตา 4 อันดับแรกของตารางคะแนนให้ได้
อย่างไรก็ดีแม้จะเคยเอาชนะในเกมนัดเปิดฤดูกาลมาแล้ว แต่การไปเยือนทีม “นักบุญ” ที่มีอดีตนักเตะดังอย่าง โรนัลด์ คูมันน์ คุมทีมนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย
เพราะทีมจากแดนใต้ของอังกฤษทีมนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการที่พวกเขายืนระยะอยู่ในด้านบนของตารางคะแนนได้มาจนถึงช่วงเวลานี้ของฤดูกาลไม่ได้ฟลุ้คแต่อย่างใด
ก่อนหน้าที่ฤดูกาลนี้จะเปิดฉากขึ้น เซาแธมป์ตัน ถูกจับตามองว่าจะเจอกับปัญหาแน่นอนในการเอาตัวรอดให้ได้ในลีกสูงสุด
เพราะนอกจากจะเสียกุนซือหนุ่มฝีมือดีอย่าง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ไปให้กับทีม ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ทีมดังร่วมลีกแล้ว พวกเขายังต้องปล่อยนักเตะฝีเท้าดีออกไปอีกมากมาย โดยเฉพาะกับการปล่อย ริคกี้ แลมเบิร์ต, เดยัน ลอฟเรน และ อดัม ลัลลาน่า ออกมาให้กับ ลิเวอร์พูล
ทว่าอดีตขุนพลดังของฮอลแลนด์ และ บาร์เซโลน่า อย่าง คูมันน์ ก็ลบคำสบประมาทที่มีต่อตัวเขาและทีมของเขาได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการรั้งอยู่ในด้านบนของตารางคะแนนมาได้ตลอดและมีลุ้นจะทำอันดับไปเล่นในฟุตบอลสโมสรยุโรปฤดูกาลหน้าอีกด้วย
เกมที่ เซนต์ แมรี่ส์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาถือว่า ลิเวอร์พูล ออกสตาร์ทได้อย่างยอดเยียมมากๆเมื่อได้ประตูขึ้นนำเร็วตั้งแต่นาทีที่ 3 และยังเป็นการยิงเข้ากรอบครั้งแรกในเกมนี้ของพวกเขาจาก ฟิลิเป้ คูตินโญ่ ซึ่งกำลังทำผลงานได้ดีและประตูนี้ยังคล้ายกับประตูที่เจ้าตัวทำได้ในเกมที่เจอกับ โบลตัน ในเอฟเอ คัพ
ขณะที่ประตูย้ำชัยชนะของ ลิเวอร์พูล นั้นได้จาก ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และช่วยให้ทีมเก็บ 3 คะแนนพร้อมกับเก็บแต้มเพิ่มเป็น 45 คะแนนตามหลัง เซาแธมป์ตัน ที่ร่วงลงมาเป็นอันดับ 5 อยู่เพียงหนึ่งคะแนน
ขณะเดียวกันกับความพ่ายแพ้ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ลิเบอร์ตี้ สเตเดี้ยม เมื่อวันเสาร์ทำให้ช่องห่างของ ยูไนเต็ด ที่รั้งอันดับ 4 กับ ลิเวอร์พูล ซึ่งอยู่ที่ 6 เหลือเพียง 2 คะแนนเช่นกัน
12 เกมสุดท้ายที่เหลืออยู่ในลีกน่าจะทำให้การแข่งขันแย่งพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลนี้เข้มข้นสุดขีดโดยอันดับ 3 เวลานี้อย่าง “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ก็มีอยู่ 48 คะแนนไม่ได้ไกลจาก ลิเวอร์พูล เลย
เกมกับ เซาแธมป์ตัน แม้โอกาสในเกมจะมีไม่มากนักแต่ ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความเหนียวแน่นมากขึ้นกว่าเมื่อช่วงต้นฤดูกาลอย่างมาก สองประตูที่ได้นั้นมาจากสองโอกาสที่พวกเขายิงเข้ากรอบ
ขณะเดียวกันเกมรับของพวกเขาก็ลงตัวมากขึ้นเรื่อยๆจนทำให้นับตั้งแต่เริ่มปี 2015 มานี้ ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมเดียวเท่านั้นในลีกที่ยังไม่แพ้ใคร
สถิติหนึ่งที่ยืนยันถึงความยอดเยี่ยมของ ลิเวอร์พูล และพัฒนาการในแง่ของการเล่น และผลการแข่งขันของพวกเขาก็คือ พวกเขาเก็บได้เพียง 22 คะแนนเท่านั้นจาก 17 เกมแรก แต่ใน 9 เกมหลังสุดพวกเขากลับสามารถเก็บได้ถึง 23 จาก 27 คะแนนเต็ม
โปรแกรมเกมต่อไปของ ลิเวอร์พูล นั้นจะเป็นการออกไปเล่นกับ เบซิคตัส ในนัดที่สองของรอบ 32 ทีมสุดท้ายยูโรป้า ลีก และพวกเขามีสกอร์ตุนมาจากเกมแรกอยู่ 1-0
ก่อนที่จะกลับมาลุยในลีกต่อช่วงสุดสัปดาห์และวันอาทิตย์นี้ ลิเวอร์พูล จะต้องทำศึกบิ๊กแมตช์กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งจะเป็นเกมที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะทำได้ดีเหมือนเดิมหรือไม่กับฟอร์มที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
พูดถึง มาริโอ บาโลเตลลี่ ที่ไปขอยิงจุดโทษจาก จอร์แดน เฮนเดอร์สัน นั้น หลายคนอาจไม่รู้ว่าดาวยิงทีมชาติอิตาลีรายนี้ มีสถิติการยิงจุดโทษที่ยอดเยี่ยมไม่น้อยเมื่อเขาเคยยิงประตูในการเล่นระดับอาชีพไปแล้วถึง 27 ประตูจากความพยายาม 29 ครั้ง และนั่นทำให้ บาโลเตลลี่ ถึงตัดสินใจขอโอกาสนั้นจาก เฮนโด้