บ่วง
ผลิตโดย : บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด
บทประพันธ์โดย : จุลลดา ภักดีภูมินทร์
บทโทรทัศน์โดย : นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
กำกับการแสดงโดย : ภวัต พนังคศิริ
ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี
ณ ต้นกำเนิดของชีวิต อาจบรรจบกับจุดสุดท้ายของอวสาน
เป็นวัฏฏะที่เหล่ามนุษย์ต้องเวียนว่าย และเป็น “ บ่วง ” คล้องผูกพันกับกิเลสตัณหา
ไม่ว่าบ่วงบุญหรือบ่วงกรรม ต่างก็คล้องชีวิตให้ต้องวนเวียนเกิดขึ้นและจบลง
หน่วงให้ต้องทุกข์ทนในวังวนแห่งโลกและชีวิตอย่างมิรู้จบสิ้น
“ศามน” (พัชฏะ นามปาน) หนุ่มวัยทำงาน ตำแหน่งหน้าที่การงานดี เป็นถึงหัวหน้าฝ่ายบริษัทคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาทั้งๆ ที่ยังอายุไม่มาก เขาเกิดที่เมืองไทยแต่ไปเติบโตที่อเมริกา เพราะต้องติดตามพ่อที่ทำงานเป็นทูตอยู่ที่นั่น
ศามนเกิดมาพร้อมด้วยรูปสมบัติ คุณสมบัติ และทรัพย์สมบัติอย่างที่สาวๆ หลายคนพึงพอใจ แต่เขาเลือกแต่งงานกับ “รัมภา” (ศรีริต้า เจนเซ่น) สาวสวยที่เคยเป็นเด็กกำพร้ามาก่อน แต่มีคนใจบุญรับเธอมาอุปการะเลี้ยงดูเป็นอย่างดี รัมภาเป็นคนเพียบพร้อมทั้งกิริยามารยาทคู่ควรกับศามน สองคนพบรักกันที่อเมริกา และตัดสินใจแต่งงานกันจนมีลูกฝาแฝดชาย-หญิงที่น่ารักวัย 4 ขวบชื่อ “ศรุท” หรือ “รัตตี้” (ด.ช. ภัทรกร ประเสริฐเศรษฐ) และ “ศรัย” หรือ “ไลล่า” (ด.ญ. ชินารดี อนุพงษ์ภิชาติ) ครอบครัวนี้ถือว่าเป็นครอบครัวรุ่นใหม่ที่อบอุ่นและคอยเติมเต็มให้กันอย่างมีความสุข
วันหนึ่งศามนได้รับการติดต่อจากญาติให้เดินทางกลับกรุงเทพฯโดยด่วน เพื่อมาร่วมงานศพคุณยายทวด และมารับมรดกตกทอดของตระกูลที่บ้านสวนเก่าหลังใหญ่แถบชานเมือง ซึ่งมีเนื้อที่เกือบห้าไร่ เขาตัดสินใจย้ายครอบครัวกลับมาตั้งรกรากที่นี่ และทำเรื่องย้ายงานจากบริษัทแม่ที่อเมริกามาประจำสาขาในไทย เพื่อมาอยู่ที่บ้านสวนหลังนี้กับครอบครัว โดยให้รัมภาเป็นแม่บ้านอยู่บ้านคอยดูแลลูกๆ
ที่บ้านสวนแห่งนี้คนภายนอกมองว่าบรรยากาศน่ากลัวเพราะต้นไม้รกครึ้ม ไม่มีใครพักอาศัยอยู่เลย นอกจาก “ตาหล้า” (ชุมพร เทพพิทักษ์) “ยายคำ” (พิมพ์แข กุญชร ณ อยุธยา) และ “บุญสืบ” (ธงธง มกจ๊ก) ลูกชายจอมทะเล้น ข้าเก่าของคุณทวดที่คอยดูแลทำความสะอาดบ้าน ศามนไม่รู้สึกกลัวที่นี่เหมือนคนอื่น เพราะเขาเคยวิ่งเล่นมาตั้งแต่เล็กๆ แต่สำหรับรัมภาความรู้สึกแวบแรกตั้งแต่เธอก้าวเข้ามาที่บ้านสวนแห่งนี้ เธอรู้สึกว่าที่นี่ดูวังเวงและชวนขนลุกอย่างบอกไม่ถูก ที่เพิ่มความน่ากลัวเข้าไปอีกคือ หลังจากที่คุณทวดเสียชีวิตลง ศพของท่านยังคงบรรจุใส่โลงตั้งเอาไว้บนเรือนหลังใหญ่เพื่อรอการเผา รัมภามองรูปหน้าศพรู้สึกว่าคุณทวดมีแววตาแข็งกร้าว ดุดัน แต่เมื่อมองนานๆ เหมือนอุปทานว่าเห็นรอยยิ้มผุดขึ้นจากมุมปากของท่าน
เมื่อมาถึงที่นี่ในคืนแรก มีเหตุการณ์ลึกลับที่ทำให้รัมภาต้องอกสั่นขวัญหายเกิดขึ้น ลูกแฝดของเธอหายตัวไปจากห้องนอนที่เรือนใหญ่อย่างไร้เงื่อนงำ คนทั้งบ้านช่วยกันตามหาตัวเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ยายคำคนดูแลบ้านบอกศามนและรัมภาว่า เด็กๆ คงถูกผีลักซ่อน ยายคำเลยให้ทั้งคู่ไปทำพิธีจุดธูปกำใหญ่หน้าโลงศพคุณทวด เพื่อให้ท่านช่วยดลใจให้เจอเด็กๆ ยายคำเชื่อว่าเด็กแฝดทั้งสองเป็นหลานแท้ๆ ของท่าน ท่านคงไม่น่ามาหยอกล้อแบบนี้ เมื่อปักธูปเสร็จ ทุกคนจึงได้ยินเสียงเด็กๆ และเจอตัวเด็กๆ เมื่อตอนใกล้เช้าในที่สุด
ไม่เพียงเท่านั้น รัมภามักหูแว่วได้ยินเสียงเพลงกล่อมเด็กอันเยือกเย็น ในขณะที่ศามนกลับหูแว่วได้ยินเสียงท่องมนตร์ดำ ที่แสนเข้มขลังและศักดิ์สิทธิ์ของหญิงคนหนึ่งที่คุ้นหู ทั้งสองต่างเก็บนิมิตเสียงอันแตกต่างเหล่านี้ไว้ไม่บอกกันและกัน
รัตตี้และไลล่าเล่าให้พ่อกับแม่ฟังว่า ทั้งสองคนออกไปหาขุมทรัพย์มา ซึ่งจริงๆ แล้วพวกเขาถูกใครคนหนึ่งปลุกให้ตื่นขึ้นกลางดึก และสะกดให้เดินออกจากห้องนอนไปที่เรือนหลังเล็กท้ายสวน ระหว่างทางได้พบกับลูกหมาสีดำตัวหนึ่ง เด็กๆ เหมือนถูกสะกดให้เดินตามลูกหมาตัวนั้นไป มันนำทางให้ทั้งคู่เดินออกมาที่ศาลาท่าน้ำ ลูกหมาตัวนั้นค่อยๆ ตะกายลงไปในน้ำและจมหายไปต่อหน้าต่อตาทั้งสองคน ในตอนนั้นเด็กแฝดได้ยินเสียงหญิงชราคนหนึ่งกระซิบข้างหูให้ลงไปในน้ำเพื่อช่วยลูกหมา แต่ที่ริมน้ำฝั่งตรงข้ามพวกเขากลับเห็นหญิงชราหน้าตาใจดีอีกคนโบกมือห้ามไม่ให้ลงไป เด็กๆ เล่าว่าในตอนนั้น พวกเขาได้ยินเสียงที่ผู้ใหญ่ตะโกนตามหา จึงไม่คิดลงน้ำตามลูกหมาตัวนั้นไป แต่ไม่รู้ทำไมพวกเขาถึงไม่สามารถขานตอบได้
ตาหล้าและยายคำบอกศามนและรัมภาว่า คุณทวดคงคิดพาโหลนออกไปเที่ยวจึงดลใจให้ผู้ใหญ่มองไม่เห็นตัวเด็กๆ หลังจากที่คุณทวดเสียชีวิตลง ตาหล้าและยายคำเคยเห็นร่างคุณทวดมานั่งเล่นที่ชานบ้านบ่อยๆ แต่ท่านมาดีเหมือนมาช่วยปกปักรักษาที่นี่ เมื่อทุกคนคุยเรื่องคุณทวดทีไรมักได้กลิ่นธูปหอมลอยมาเสมอ หลังจากที่ศามนและรัมภาพบลูกแฝดแล้ว รัมภาเหมือนหูแว่วได้ยินเสียงหญิงชราหัวเราะเย้ยหยันเรื่องที่ลูกๆ ของเธอหายตัวไปจนเกือบจะจมน้ำตาย เธอรู้สึกกลัวมากแต่ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง
ศามนไปทำงานรับตำแหน่งผู้จัดการในบริษัทคอมพิวเตอร์ข้ามชาติ โดยมี “อนุกูล” (ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ) เป็นรองผู้จัดการ มี “วรรณศิกา” (ปาจรีย์ ณ นคร) เป็นเลขา และมี “พัชนี” (เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา) พนักงานใหม่เข้ามาเป็นผู้ช่วยวรรณศิกา อนุกูลเป็นเพลย์บอยหนุ่มรูปงาม ท่าทางกรุ้มกริ่มกับสาวๆ จนถูกพัชนีเตือนให้รู้โทษของการผิดศีลห้า นั่นทำให้อนุกูลรู้สึกขำขันกับพนักงานใหม่ สาวสวยแต่ชอบทำตัวเป็นแม่ชีอย่างพัชนี จนต้องคอยยั่วโมโหและแกล้งพัชนีอยู่บ่อยๆ
วันนั้น อนุกูล วรรณศิกา และพัชนี ติดตามศามนเข้ามาเยี่ยมรัมภาที่บ้านเพื่อช่วยเหลือในฐานะเพื่อนร่วมงานที่ดี พัชนีมีกล้องติดมือมาด้วยจึงถ่ายภาพบ้านของศามนตามมุมต่างๆ ไว้ เมื่อพัชนีกลับบ้านเอาให้ “ลุงช่วง” (เผ่าทอง ทองเจือ) ดู ลุงช่วงนั่งทางในพบว่าบ้านหลังใหญ่นั้นมีบ้านหลังเล็กแทรกตัวอยู่ ห่างกันแค่คลองเล็กๆ คั่น ลุงช่วงรีบบอกให้พัชนีติดต่อศามน อย่าให้ใครไปเปิดบ้านหลังเล็ก มิฉะนั้นมนต์ดำของวิญญาณร้ายจะออกมา
แต่ไม่ทันการเสียแล้ว ศามนออกไปสำรวจท้ายสวนตามทางที่เด็กๆ บอก จนไปเจอเรือนหลังเล็กสกปรกรกร้างริมน้ำและถูกล็อกกุญแจแน่นหนา ศามนงัดกุญแจที่มีผ้ายันต์ปิดอยู่ออก ศามนเข้าไปข้างใน เสียงมนต์ดำ เสียงโซ่ที่ถูกลากไปตามพื้น และเสียงกรีดร้องอย่างทรมานดังไปทั่วจนศามนเป็นลมล้มลง ก่อนจะตื่นขึ้นมากลายเป็นศามนคนใหม่ที่เฉยชาและขี้หงุดหงิด
ศามนสงสัยว่าทำไมห้องที่เรือนหลังเล็กต้องมีลูกกรงแน่นหนา จนมารู้ทีหลังว่าที่นี่เป็นเรือนที่คุณทวดหวงมากไม่อยากให้ใครเข้าไปยุ่ง ศามนชอบบรรยากาศที่เรือนหลังเล็กมาก ขณะที่รัมภารู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ที่นี่ ศามนไม่คิดนอนที่เรือนใหญ่ที่ตั้งศพคุณทวดอยู่ตั้งแต่แรก เขาจึงสั่งตาหล้าให้ซ่อมแซมและปรับปรุงเรือนหลังนี้เสียใหม่ เพื่อทำเป็นที่พักแทน จากเรือนรกร้างเมื่อตกแต่งใหม่ก็กลายเป็นเรือนหลังเล็กสีขาวน่าอยู่ รัมภาลงทุนทำสระว่ายน้ำเล็กๆ เพื่อให้เด็กๆ ว่ายน้ำเล่นกัน เพราะไม่อยากให้เด็กๆ ลงไปเล่นน้ำที่บึงน้ำหลังบ้าน
เมื่อครอบครัวของศามนย้ายมาอยู่เรือนหลังเล็ก รัมภาไม่เคยนอนหลับสนิทสักคืน เธอได้ยินแต่เสียงหัวเราะเย้ยหยันของหญิงคนหนึ่งแว่วเข้าหูตลอดคืน อีกทั้งมักฝันเห็นผู้หญิงนุ่งโจงกระเบนสีดำ สวมเสื้อคอกว้างแขนกุดเสมอไหล่ ผมยาวระต้นคอรุ่มร่าม ดูเหมือนผู้หญิงในฝันจะยิ้ม แต่รอยยิ้มแฝงไว้ด้วยความน่ากลัว ความฝันซ้ำๆ ซากๆ ถึงหญิงชราคนนี้ทำให้เธอผวาตื่นยามดึกอยู่บ่อยๆ เธอตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับศามนและขอย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่น แต่ศามนกลับคิดว่าเธอหูฝาดและคิดมากไปเอง รัมภาจึงนำความฝันประหลาดนี้ไปเล่าให้ยายคำฟัง เพราะเธอนึกว่าผู้หญิงที่ฝันเห็นเป็นคุณทวด ยายคำกลับบอกว่าลักษณะแบบนั้นตามที่เธอเล่าให้ฟังไม่ใช่คุณทวดอย่างแน่นอน เพราะคุณทวดไม่เคยไว้ผมยาวรุ่มร่าม ท่านจะตัดผมทรงพุ่มๆ และเกล้ามวยเท่านั้น กลายเป็นความสงสัยของรัมภาว่าคนที่เธอฝันเจอคือใคร
จริงๆ แล้วทั้งเรือนหลังใหญ่และหลังเล็กแห่งนี้ต่างมีความหลัง แต่ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปเพราะคนเก่าแก่ของที่นี่เสียชีวิตไปหมดแล้ว คนที่พอจะรู้ข้อมูลของบ้านสวนแห่งนี้เห็นจะมีเพียง “ยายเพ็ญ” หญิงชราวัยเก้าสิบกว่าๆ เพื่อนบ้านที่หลงๆ ลืมๆ เลอะเลือน ยายเพ็ญอาศัยอยู่ละแวกนี้มานาน เคยเข้ามาที่เรือนหลังใหญ่เพื่อคอยรับใช้คุณทวดบ่อยๆ ยายเพ็ญมีหลานสาวเปรี้ยวจี๊ดแต่งตัวจัด หน้าตาคมขำชื่อ “เดือนแรม” หรือ “คุณนายเดือน” (สุคนธวา เกิดนิมิตร) ตามที่คนละแวกนี้นิยมเรียก เธออายุมากกว่ารัมภา 2 ปี แต่มีนิสัยแตกต่างจากรัมภาโดยสิ้นเชิง คุณนายเดือนนับเป็นเศรษฐีนีในละแวกนี้ เพราะเธอได้รับมรดกมากมายจากการขายตึกแถวหลังจากที่แม่ของเธอเสียชีวิตลง เดือนแรมเป็นหญิงหม้ายสามีทิ้ง ผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตเธอรักเงินมากกว่าตัวเธอ คบกันได้ไม่นานก็ทิ้งเธอไปหมด ปัจจุบันจึงมีแต่สาวใช้จอมกระแดะปัญญาน้อยนิดชื่อ “ทองดี” (แอน เนเจอร์กี๊ฟ) เป็นผู้ติดตาม
ด้วยความเป็นคนอยากรู้อยากเห็นของเดือนแรม เมื่อมีเพื่อนบ้านมาอยู่ใหม่อย่างครอบครัวของศามนและรัมภา เธอก็อดไม่ได้ที่จะแวะมาเยี่ยมเยียนเพื่อทำความรู้จัก และเล่าเรื่องราวต่างๆ นานาตามที่เคยได้ยินมาจากยายเพ็ญเกี่ยวกับบ้านสวนแห่งนี้ให้รัมภาฟัง แรกๆ รัมภาก็รู้สึกดีที่มีเพื่อนคุย แต่บ่อยๆ เข้าเธอก็เริ่มรำคาญ เพราะเดือนแรมเป็นคนพูดมากและไม่มีกาลเทศะ เดือนแรมเล่าให้รัมภาฟังว่าเคยได้ยินมาว่า ในอดีตเรือนหลังเล็กแห่งนี้เคยมีคนบ้าถูกขังอยู่ รัมภาจึงให้เดือนแรมพาไปหายายเพ็ญ เพราะอยากรู้ที่มาที่ไปของบ้านหลังนี้
เดือนแรมเข้ามาพัวพันกับครอบครัวนี้บ่อยๆ จนเริ่มคุ้นเคย วันหนึ่งรัมภาฝากให้เดือนแรมเฝ้าบ้านให้ เดือนแรมเผลอนอนกลางวันและเคลิ้มเห็นผู้หญิงคนเดียวกับที่รัมภาเคยฝันเห็น คือหญิงสาวคมขำ ผมประบ่าเหน็บหูเรียบร้อย สวมเสื้อคอกลมแขนกุด นุ่งผ้าโจงสีสวยงาม ผู้หญิงคนนั้นยิ้มให้เดือนแรม และกระซิบข้างหูเธอซ้ำๆ ว่า “จำเอาไว้ ฉันจะช่วยแก” ในฝันจากภาพหญิงคมขำ ผมประบ่าที่เห็นตอนแรก ค่อยๆ กลายเป็นผู้หญิงผมรุ่ยร่าย ผ้าโจงกลายเป็นสีดำ แววตาน่ากลัวเหมือนคนบ้า เธอจึงสะดุ้งตื่นเพราะนึกว่าโดนผีอำ และเล่าเรื่องนี้ให้รัมภาฟัง รัมภาตกใจที่เดือนแรมฝันเห็นผู้หญิงคนเดียวกับที่เธอเคยฝัน เธอเล่าเรื่องนี้ให้ศามนฟังอีกครั้ง เขายังคงเชื่อว่าเธอคิดมากไปเองเหมือนเดิม
เดือนแรมไปมาหาสู่ที่นี่บ่อยครั้ง จนวันหนึ่งศามนเลิกงานเร็วกว่าปกติ เขาได้มาเจอเดือนแรมที่มาช่วยเฝ้าบ้านให้โดยบังเอิญ ครั้งแรกที่เดือนแรมเจอเขา เธอรู้สึกพึงพอใจในตัวศามน ส่วนศามนไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับเดือนแรม แต่ทุกครั้งที่อยู่ใกล้เดือนแรม เขามักได้ยินเสียงท่องมนต์ของใครคนหนึ่ง และมักเห็นเงาหญิงสวย แววตายั่วยวนคนหนึ่งซ้อนอยู่ในตัวเดือนแรม
คืนหนึ่งรัมภาเคลิ้มฝัน เห็นผู้หญิงคมขำผมประบ่าคนเดิม ท่าทางเกรี้ยวกราดดุดันชะโงกหน้ามาหา และเอานิ้วจิ้มหน้าผากเธอ สักพักเธอพบว่าตัวเองลอยละลิ่วไปยืนกลางสะพานหน้าบ้าน และเห็นผู้หญิงอีกคนที่มีใบหน้าเศร้า และกลายเป็นรูปคุณทวดหน้าศพท่าทางเกรี้ยวกราดวิ่งตาม ทำท่าจะตะครุบตัวเธอ และร่างนั้นก็หายวับไป รัมภาสะดุ้งตื่นเล่าความฝันให้ศามนฟัง เขาก็รับฟังแต่รู้สึกเอือมระอาและหนักใจ ที่รัมภามีอาการจิตหลอนมากขึ้นทุกวัน ศามนสังเกตว่าตั้งแต่ครอบครัวของเขาย้ายมาอยู่ที่นี่ รัมภามีอาการผิดไปจากครั้งที่อยู่ด้วยกันที่เมืองนอก เธอมักหวาดผวากับบางสิ่งบางอย่าง แม้แต่เมื่อเขาไปยืนใกล้ๆ เธอยังตกใจสะดุ้งจนตัวลอย ศามนอยากพาเธอหลบพ้นจากบรรยากาศที่บ้านสวน จึงให้วรรณศิกาช่วยเป็นธุระพารัมภาพาลูกๆ ไปพักผ่อนจิตใจที่หัวหิน เพื่อให้เธอสบายใจขึ้น ส่วนตัวเขาเองติดงานไม่สามารถไปกับครอบครัวได้
รัมภาเล่าความฝันให้วรรณศิกาฟัง วรรณศิกาเชื่อตามที่รัมภาเล่า และพาเธอไปรู้จักกับลุงช่วง ลุงของพัชนี ที่เป็นคนธรรมะธรรมโมนั่งสมาธิมานาน สามารถนั่งทางในเห็นในสิ่งที่คนทั่วไปไม่อาจเห็นได้ ลุงช่วงบอกความจริงที่น่ากลัวกับรัมภาว่า บ้านสวนของเธอทั้งเรือนใหญ่และเรือนเล็กต่างมีวิญญาณเป็นหญิงแก่สองคนสิงสถิตอยู่ ที่เรือนหลังใหญ่มีวิญญาณดีวนเวียนอยู่ไม่ยอมไปเกิดใหม่เพราะเป็นห่วงลูกหลาน แต่ที่เรือนหลังเล็กมีวิญญาณร้ายวนเวียนอยู่เพราะต้องการจองเวรรัมภา วิญญาณร้ายเป็นโอปปาติกะที่มีความพยาบาทอาฆาตแรงมาก จนเป็นบ่วงร้อยรัดเธอไว้ไม่ยอมไปผุดไปเกิด แต่ลุงช่วงไม่สามารถติดต่อกับวิญญาณร้ายได้ จึงไม่รู้ว่าเธอต้องการจองเวรรัมภาเรื่องอะไร
ลุงช่วงบอกว่าพลังของวิญญาณร้ายไม่ยอมรับบุญกุศลหรือคำแผ่เมตตาที่รัมภาส่งไปให้ เธอไม่ยอมอโหสิกรรมและไม่ยอมพ้นจากบ่วงกรรมที่เคยแค้นไว้แต่ชาติปางก่อน ลุงช่วงแนะนำให้รัมภาหมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ทั้งแก่วิญญาณทั้งสองบ้าน เพื่อให้เลิกจองเวรจองกรรมต่อกัน เพราะกรรมของใครก็ของคนนั้น คนอื่นช่วยไม่ได้นอกจากต้องพยายามหาทางช่วยตัวเอง รัมภาจึงนิมนต์เจ้าอาวาสวัดใกล้บ้านมาทำพิธีบังสุกุลที่เรือนหลังใหญ่ แต่ก็ไม่เป็นผล เธอยังคงฝันร้าย และพบกับสิ่งลี้ลับแปลกๆ ที่บ้านสวนแห่งนี้ตลอด
หลังๆ เดือนแรมเริ่มเข้ามาตีสนิทและพยายามให้ท่าศามนอยู่บ่อยๆ ในขณะเดียวกันรัมภาเริ่มมีอาการหวาดผวาหนัก ไม่สามารถหลับนอนกับศามน และเริ่มติดยากล่อมประสาท ศามนยิ่งเครียดและเริ่มหวั่นไหวต่อเดือนแรม
อนุกูลรู้สึกสงสารรัมภา เขาพาตัวเองเข้ามาแทนที่ศามน เป็นเพื่อนสนิทรัมภา และทำตัวทดแทนพ่อให้เด็กแฝด โดยแอบหวังว่า จะทำให้ศามนหึงและกลับมาเป็นครอบครัว แต่ผลออกมาตรงกันข้าม ศามนยิ่งรังเกียจรัมภาจนถึงขั้นทะเลาะกัน และยังทำให้ความสัมพันธ์ของอนุกูลเองและพัชนีที่เพิ่งเริ่มต้น ง่อนแง่น ระส่ำระสาย
ในที่สุดศามนอดใจไม่ไหวแอบมีอะไรกับเดือนแรม เมื่อวันที่รัมภาและลูกๆ อยู่หัวหินกับวรรณศิกา เดือนแรมร้อนแรงและมีเสน่ห์ดึงดูดให้เขาสามารถลืมเมียและลูกได้ ทุกครั้งที่เขามีอะไรกับเธอ เขาจะรู้สึกว่าทั้งตัวเขาและเธอไม่ใช่ตัวเอง แต่กลายเป็นคนอื่น โดยเฉพาะเมื่อเขาอยู่ใกล้เดือนแรม เขามักได้กลิ่นแป้งร่ำน้ำอบไทยจากตัวของเธอเสมอ เมื่ออยู่กันสองต่อสองที่เรือนเล็ก ศามนมักได้ยินเสียงกระซิบแว่วข้างหูเรียกเขาว่า “คุณพระ” เสียงนั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนมีใครอีกคนแทรกอยู่ในตัวเอง และเมื่อเขาแวบนึกถึงลูกเมีย ความรู้สึกนั้นจะเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังลูกเมียในทันที เขารู้สึกเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ของอำนาจอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ถ้าศามนกลับไปที่เรือนใหญ่หรืออยู่ต่อหน้ารูปคุณทวด เขาจะรู้สึกประหลาดเหมือนกับตัวเองจะแยกเป็นสองร่าง อึดอัดจนอยากเป็นลม แต่สำหรับเดือนแรม ทุกครั้งที่ได้มานอนที่เรือนหลังเล็ก เธอมักรู้สึกเคลิ้มเห็นผู้หญิงกระโจงหม่นคนเดิมมายืนข้างเตียงเสมอ พร้อมเสียงแว่วว่าให้เธออยู่ที่นี่เพื่อช่วยแก้แค้นเหมือนเดิม
วรรณศิกา อนุกูล และพัชนีเข้ามาช่วยรัมภา โดยวางแผนให้ศามนดื่มน้ำมนต์ที่ลุงช่วงนำมาให้ ศามนเป็นลมทันที และกลับมาเป็นศามนคนเดิม มีท่าทีเมินเฉยกับเดือนแรม คืนนั้นครอบครัวศามนได้ยินเสียงกรีดร้องดังต่อเนื่อง เหมือนสัตว์ถูกทำร้าย ดังทั่วเรือนเล็ก
วิญญาณร้ายไม่หยุดเพียงแค่นั้น เสียงกระซิบยามค่ำคืนขณะฝันพาเดือนแรมไปพบกับหมอผีคนหนึ่ง ชื่อ “อาจารย์ชู” (ชาติชาย งามสรรพ์) อาจารย์ชูจัดการทำเสน่ห์ให้ศามนและเดือนแรมกลับมารักกันอีกครั้ง คราวนี้ศามนดูกราดเกรี้ยวถึงกับดุและรำคาญลูกแฝดของตน อนุกูลจึงพาเด็กแฝดไปอยู่บ้านวรรณศิกา ไลล่าทำใจไม่ได้ ด้วยความคิดถึงพ่อจึงชวนรัสตี้หนีออกจากบ้านวรรณศิกา ในที่สุดเด็กแฝดหลงทาง หายไปนอนเร่ร่อนอยู่ริมถนน โชคดีที่พัชนีและอนุกูลไปพบก่อนจะได้รับอันตราย
ลุงช่วงเห็นว่าไม่ได้การ จึงมาที่บ้านสวนเพื่อค้นหาคุณไสยที่แอบซ่อนอยู่ แต่เมื่อลุงช่วงเข้าไปในเรือนเล็กก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ลุงช่วงเกิดลื่นหกล้มเหมือนมีใครผลัก ลุงช่วงขาหักต้องไปนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่สามารถมาช่วยรัมภาได้อีก
ความหลงในมนต์ดำของเดือนแรม มีแต่ฉุดให้ศามนเปลี่ยนเป็นคนละคนและทำตัวตกต่ำลง เขาถึงกับขอเลิกกับรัมภา และทิ้งลูกๆ ไปเพราะแรงยุของเดือนแรม เขามัวแต่ขลุกอยู่กับเดือนแรมจนไม่สนใจการงาน และโดนไล่ออกในที่สุด เพียงแค่ไม่กี่เดือนที่ศามนได้รู้จักกับเดือนแรม เขาได้ตกลงไปในห้วงเหวของราคะที่กลายเป็นบ่วงคล้องเขาเอาไว้ มโนธรรมและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเขาถูกฝังให้จมหายไป และถูกกลบเอาไว้อย่างแน่นหนาด้วยกิเลสราคะที่เดือนแรมก่อขึ้น
เมื่อรัมภารู้ความจริงว่าศามนแอบคบกับเดือนแรม เธอเสียใจมากถึงกับขนของย้ายออกมาจากเรือนหลังเล็ก และพาลูกแฝดไปฝากวรรณศิกาเลี้ยง ในขณะที่เดือนแรมขนของเข้าไปอยู่ที่เรือนหลังเล็กแทนที่เรียบร้อย รัมภาเสียใจและเครียดมาก อนุกูลดูแลรัมภาและเด็กทั้งสอง ความผูกพันใกล้ชิดทำให้อนุกูลเริ่มอ่อนไหวกับรัมภาด้วยใจจริงไม่ใช่แกล้ง ทำให้พัชนีเสียใจมากคิดตัดใจจากอนุกูล
เมื่อนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล รัมภาเคยฝันว่าตัวเองมาอยู่ที่เรือนหลังใหญ่ เธอได้ยินเสียงและสัมผัสพลังเร้นลับที่บอกเธอว่า “อย่ายอมแพ้ ให้สู้กับมันให้ได้” แต่บางครั้งเธอรู้สึกเหมือนว่า ตัวเองถูกอำนาจลึกลับบางอย่างคุกคามอยู่ตลอดเวลา ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว ฝันร้าย บางทีเธอไม่ยอมนอนหลับเพราะกลัวความฝัน จนหมอต้องให้กินยากล่อมประสาทให้เธอได้นอนหลับเพื่อลืมทุกอย่าง เมื่อเธอมารักษาตัวที่โรงพยาบาล ศามนมัวแต่กกกอดเดือนแรม ไม่เคยสนใจมาเยี่ยมเธอสักครั้ง
วรรณศิกาปรึกษากับลุงช่วงว่า จะพารัมภาไปนั่งสมาธิกับ “แม่ชีนวล” ที่วัดประจำตระกูล เพื่อให้เธอฝึกนั่งสมาธิเพื่อมองเห็นกรรมในอดีต รัมภาได้รับคำแนะนำจากแม่ชีนวลว่า ให้หมั่นตั้งสมาธิ สร้างบุญกุศล แผ่เมตตา แล้วจะพบเห็นหญิงชรา 2 คนที่ฝันเห็น เพื่อจะได้รู้ความต้องการของหญิงชราทั้งสอง เธอปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อเอาชนะตัวเอง และปฏิบัติธรรมอย่างรู้แจ้งตาม จนได้รู้ความจริงในอดีตว่า…
ด้วยบ่วงกรรมที่เคยผูกพันกันมาแต่ชาติก่อน รัมภาเคยเกิดเป็น “คุณชื่นกลิ่น” (ศรีริต้า เจนเซ่น) ลูกสาวของ “คุณหญิงอบเชย” (ชไมพร จตุรภุช) ซึ่งเป็นคุณทวดเจ้าของบ้านสวนแห่งนี้ ส่วนศามนสามีของเธอเคยเกิดเป็น “คุณพระภักดีบทมาลย์” (พัชฏะ นามปาน) คุณพระภักดีบทมาลย์และคุณชื่นกลิ่นรักใคร่ชอบพอกัน จนผู้ใหญ่จัดพิธีแต่งงานให้ และอยู่กินกันมาอย่างมีความสุข จนมีลูกสาวคนหนึ่งชื่อ “ชิดศรี” ซึ่งก็คือยายของศามนในชาติปัจจุบัน คุณชื่นกลิ่นเป็นลูกคนมียศถาบรรดาศักดิ์ จึงมีต้นห้องคอยดูแลรับใช้ชื่อ “นางแพง” (ศิรพันธ์ วัฒนจินดา) แพงอายุไล่เลี่ยกันกับคุณชื่นกลิ่น แต่มีนิสัยทะเยอทะยาน เธอคอยอิจฉาคุณชื่นกลิ่นที่ได้ดีกว่าตัวเองในทุกเรื่อง
แพงแอบหลงรักคุณพระภักดีบทมาลย์ ตั้งแต่ตอนที่คุณพระมาดูตัวคุณชื่นกลิ่นในครั้งแรก “นางพึ่ง” (ภรผกา เสียงสมบุญ) แม่ของแพงพยายามทัดทาน แพงก็ไม่ฟัง แพงพยายามขอความช่วยเหลือจาก “นายกล้า” (ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ) คนสนิทผู้ติดตามคุณพระ นายกล้าเป็นคนจิตใจดี รักแพงด้วยความจริงใจ นายกล้าไม่ยอมช่วยแพง และยังพยายามใช้ความรักของตนเอาชนะความทะเยอทะยานของแพง ในที่สุดนายกล้าเอ่ยปากขอแพงจากคุณหญิง แต่แพงกลับปฏิเสธ เพราะหวังว่าตนจะได้เป็นเมียคุณพระ ไม่ใช่เมียคนรับใช้อย่างนายกล้า
แพงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้คุณพระสนใจ แต่คุณพระกลับไม่เล่นด้วย จนในวันที่คุณชื่นกลิ่นต้องไปนอนคลอดลูกที่โรงพยาบาล คุณพระไปราชการเมากลับมา แพงจึงได้โอกาสจับคุณพระ และยอมเป็นของคุณพระในคืนนั้น เมื่อคุณชื่นกลิ่นคลอดลูกเสร็จก็กลับมาอยู่ที่เรือนใหญ่ คุณพระกลับไม่สนใจแพงเหมือนเดิม เพราะในใจยังรักภักดีต่อคุณชื่นกลิ่นเพียงคนเดียว แพงต้องกลายเป็นภรรยาลับๆ ของคุณพระที่ไม่ได้เอาออกหน้าออกตาเหมือนคุณชื่นกลิ่นเมียแต่ง แพงแค้นใจคุณชื่นกลิ่นมาก ตอนหลังแพงตั้งท้องและอยากให้คุณพระสนใจเธอคนเดียว เธอจึงไปหาหมอผีทำคุณไสยใส่คุณพระ ทำให้คุณพระหลงเธอหัวปักหัวปำ จนไม่สนใจคุณชื่นกลิ่นและลูก
คุณชื่นกลิ่นต้องตรอมใจทนเลี้ยงลูกตามลำพัง ท่ามกลางความสงสารของคุณหญิงอบเชยผู้เป็นแม่ เรื่องที่แพงทำเสน่ห์รู้ถึงหูคุณหญิงอบเชย คุณหญิงต้องพาคุณพระไปหา “ท่านเจ้าคุณ” พระสงฆ์ผู้ทรงสมณศักดิ์เพื่อช่วยแก้คุณไสยที่คุณพระโดนกระทำมา หลวงพ่อเอาน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์มาให้คุณพระอาบและกิน เมื่อน้ำมนต์จากผู้ทรงศีลที่ถ่ายทอดความบริสุทธิ์ลงไปบวกกับพระพุทธคาถาในพระสูตร ก่อให้เกิดพลังอำนาจที่ช่วยขจัดมนต์ดำและความชั่วร้ายต่างๆ ออกจากตัวคุณพระ การแก้มนต์ดำในตัวคุณพระทำให้ร่างกายของคุณพระปั่นป่วนจนล้มป่วย และค่อยๆ ทรุดลง จนเมื่อวันที่คุณพระป่วยหนักเจียนตาย วาระสุดท้ายก่อนตายคุณพระมีสติคิดได้ ขอให้คุณชื่นกลิ่นอโหสิกรรมให้ และสาบานว่าขอเกิดเป็นคู่กับคุณชื่นกลิ่นไปทุกๆ ชาติ
เมื่อคุณพระเสียชีวิตลง ของทำเสน่ห์ที่แพงไปทำมานั้นกลับวกกลับเข้าตัวเธอ ทำให้เธอกลายเป็นคนเสียสติ คุณหญิงอบเชยโกรธแค้นแทนลูกสาว จึงสั่งคนใช้ให้สร้างเรือนหลังเล็กขึ้นมาเพื่อขังแพงที่กลายเป็นคนบ้าไว้ ไม่ให้ออกมาสู่โลกภายนอก คุณหญิงทรมานแพงโดยการเฆี่ยนตีให้หลาบจำจนแพงถึงแก่ความตาย ก่อนตายแพงอาฆาตกับทุกๆ คนว่าจะไม่ขอไปผุดไปเกิด จะอยู่ที่นี่ และคอยจองเวรคุณชื่นกลิ่นให้พรากจากคนรักไปทุกๆ ชาติ
ในชาติปัจจุบัน แพงจึงกลายเป็นวิญญาณร้ายที่คอยทำร้ายและอาฆาตจองเวรรัมภาเรื่อยมา วิญญาณของแพงที่อยู่ในเรือนหลังเล็กยังคงวนเวียนอยู่กับความแค้น เพราะเธอตายร้ายหรือตายในขณะที่มีความอาฆาตพยาบาทมาก อุปทานแห่งความอาฆาตพยาบาททำให้เกิดพลังที่แข็งกล้า พลังชั่วร้ายของแพงยังคงไม่ไปไหน และวนเวียนอยู่ในที่ๆ เธอเสียชีวิต พลังนั้นพร้อมที่จะส่งเสริมความชั่วและต่อต้านความดี แพงจึงใช้ร่างเดือนแรมเป็นสื่อเข้าถึงตัวศามน เพราะรู้ว่าเขาคือคุณพระกลับชาติมาเกิด เมื่อใดที่เดือนแรมมาอยู่ที่เรือนหลังเล็ก เธอจึงทำความเลวได้ขึ้นเพราะพลังร้ายช่วยส่งเสริม ไม่ว่าเดือนแรมจะพูดหรือทำอะไรศามนก็เชื่อไปหมด เพราะมีความร้ายกาจของวิญญาณแพงสนับสนุนอยู่ แพงครอบคลุมเดือนแรมให้ใช้เนื้อหนังมังสายั่วยวนให้ศามนหลงใหล และช่วยให้เดือนแรมใช้ความชั่วร้ายครอบงำศามนไว้ไม่ให้สนใจรัมภาตามความต้องการของตน
ส่วนคุณหญิงอบเชย หรือคุณทวดของศามน เมื่อเธอเสียชีวิตลง คุณทวดรู้ว่ารัมภาคือลูกของตนในภพอดีต วิญญาณคุณทวดจึงคอยช่วยรัมภาให้รอดพ้นจากวิญญาณแพง คุณทวดไม่ยอมไปเกิดใหม่เพราะห่วงรัมภา
วิญญาณของคนแก่สองคนในบ้านสวนแห่งนี้ ถึงแม้ว่าร่างกายจะสลายไปแล้ว แต่ยังมีอุปาทานว่าตนยังไม่ตาย จิตจึงเกิดเป็นโอปปาติกะวนเวียนอยู่ในภพปัจจุบัน ที่มีทั้งความอาฆาตและความห่วงเป็นบ่วงร้อยรัดทุกคนเข้ามาเกี่ยวข้อง
ในที่สุดรัมภานั่งสมาธิจนรู้ความจริงทั้งหมด เธอใช้จิตติดต่อกับคุณทวดให้เลิกจองเวรแพง และอย่าให้ท่านห่วงทางนี้อีก เพื่อจะได้ไม่เป็นบ่วงร้อยรัดท่านต่อไป รัมภายอมรับในวิบากกรรมของตัวเอง เพราะกรรมของแต่ละคนมีที่มาเหมือนลูกโซ่ ร้อยเป็นห่วงติดต่อกันไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าไม่ตัดมัน มันจะกลายเป็นห่วงยืดยาวต่อไปไม่รู้จบ คุณทวดจึงยอมให้รัมภาทำพิธีเผาท่านเพื่อไปเกิดในภพใหม่ รัมภาหมั่นสร้างกุศลมากขึ้น และแผ่ส่วนกุศลไปสู่วิญญาณของแพงด้วย เมื่อวิญญาณของแพงได้รับบุญกุศลที่รัมภาส่งไปอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญที่สุดคือเธอได้รับการอโหสิกรรมจากคุณทวดและรัมภา เธอจึงเลิกอาฆาตจองเวรและยอมไปเกิดใหม่ในที่สุด
ความดีที่รัมภาสั่งสมจากการปฏิบัติธรรมและนั่งสมาธิ เธอขอผลบุญทั้งหมดปลดปล่อยศามนให้เป็นอิสระจากบ่วงแห่งความหลง และให้สติสัมปชัญญะของเขากลับคืนมา ความดีของเธอยังกลายเป็นเกราะป้องกันให้ความเลวร้ายทั้งหมดสะท้อนกลับผู้ก่อกรรม กุศลกรรมของรัมภาช่วยสร้างเกราะแก้วคุ้มครองศามน ทำให้เขาไม่ต้องพบจุดจบอย่างคุณพระในอดีต เมื่อทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย ศามนเริ่มมีอาการเหมือนมีใครคนหนึ่งเตือนให้เขานึกถึงภรรยาและลูก
เมื่อความชั่วร้ายไม่สามารถเข้าถึงตัวศามน มันจึงสะท้อนกลับมาที่คนทำชั่วอย่างเดือนแรม เดือนแรมรู้สึกว่าพลังพิเศษที่เคยช่วยให้เธอมีอำนาจเหนือจิตใจศามนขณะนี้มันเริ่มเสื่อมลง เธอเริ่มหวาดระแวงว่าจะสูญเสียศามนไป ส่วนศามนเริ่มเฉื่อยชาต่อเธอ ในใจของศามนเหมือนมีอำนาจสองอย่างต่อสู้กัน ทำให้เขารู้สึกสับสนและว้าวุ่น เมื่อเดือนแรมรู้ว่าศามนเปลี่ยนไป เธอรับไม่ได้จนเกิดอาการประสาทหลอนจนเสียสติ เหมือนกับที่รัมภาเคยเป็นเมื่อสมัยอยู่ที่เรือนหลังเล็กและโดนศามนทิ้ง ศามนรู้สึกอับอายผู้คนที่เดือนแรมมีอาการแบบนี้ เขาจึงส่งตัวเดือนแรมให้ไปอยู่ที่โรงพยาบาลโรคจิต
อนุกูลเห็นโทษของตัณหาราคะจากเรื่องของศามน อนุกูลยินดีที่รัมภาผู้น่าสงสารกลับมามีครอบครัวที่สมบูรณ์เหมือนเดิม เขาตัดใจจากรัมภาและรู้ใจตนเองว่ารักพัชนี เขาหยุดชีวิตเพลย์บอยที่ติดอยู่ในตัณหาราคะ เพื่อแต่งงานและเริ่มต้นครอบครัวที่สมบูรณ์กับพัชนี
ที่เรือนหลังใหญ่ หลังจากเรื่องร้ายๆ ผ่านไป ศามนสำนึกผิด เขากลับขึ้นไปไหว้ศพคุณทวดอีกครั้ง เพื่อขอให้คุณทวดช่วยให้เขากลับมาเป็นคนเดิม และดลใจให้รัมภาและลูกๆ อภัยให้เขาด้วย หลังจากเผาศพคุณทวดเสร็จสิ้น ศามนตัดสินใจไปบวชเพื่อชำระจิตใจให้สะอาด เขายอมตัดขาดจากทางโลกเพื่อให้ทุกคนอโหสิกรรมให้ และหมั่นสร้างกุศลแผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวรในอดีต เพื่อให้เรื่องต่างๆ คลี่คลายในทางที่ดี
รัมภาพาลูกๆ ไปใส่บาตรทุกวัน เธอพร้อมให้อภัย และรอคอยวันที่ศามนในชุดผ้าเหลืองจะสึกออกมา เพื่อใช้ชีวิตเป็นครอบครัวที่อบอุ่นที่บ้านสวนแห่งนี้เหมือนเดิม
เพราะแรงอาฆาต แรงแค้น แรงริษยา หรือ แรงรัก
แรงพวกนี้มีพลังสูง คืออำนาจของกิเลส
ถึงร่างกายจะสลายไป มันก็ยังคงมีพลังอยู่
เป็นห่วงคล้องไม่ให้ชีวิตหลังความตายเป็นไปตามกระแสกรรม
กรรมของแต่ละคนมีที่มาเหมือนลูกโซ่ ร้อยเป็นห่วงติดต่อกันไม่มีที่สิ้นสุด
ถ้าเราไม่ตัดมัน มันจะกลายเป็นห่วงยืดยาวต่อไปไม่รู้จบ
ความอาฆาตแค้นก็เป็น “ บ่วง ”
ความรักความห่วงใยก็เป็น “ บ่วง ”